ญี่ปุ่นหงายการ์ด จ่อยกพันธบัตรสหรัฐเป็นเครื่องมือต่อรองเจรจาภาษี

ข่าวด่วนวันนี้ (ข่าวทั่วไทย)

ในท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มสูงขึ้นระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา ล่าสุดรัฐมนตรีคลังญี่ปุ่น คัตสึโนบุ คาโต้ ได้ส่งสัญญาณว่าอาจใช้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ญี่ปุ่นถือครองเป็นจำนวนมหาศาลเป็นเครื่องมือต่อรองในการเจรจาทางการค้า ภายหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศมาตรการเก็บภาษีนำเข้าที่รุนแรงกับหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงญี่ปุ่น

ญี่ปุ่นหงายไพ่ใบสำคัญในเกมการเจรจา

ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2025 คัตสึโนบุ คาโต้ รัฐมนตรีคลังญี่ปุ่น ได้กล่าวในรายการโทรทัศน์ว่า “เรายังมีพันธบัตรเป็นเครื่องมือต่อรอง ซึ่งเราจะตัดสินใจกันอีกทีว่าจะใช้ในการต่อรองอย่างไรได้บ้าง” คำกล่าวดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของญี่ปุ่นและสหรัฐฯ กำลังพบปะกันที่กรุงวอชิงตันเพื่อเจรจาการค้ารอบสอง ขณะที่รัฐมนตรีคลังญี่ปุ่นยังมีกำหนดเดินทางไปสหรัฐฯ เพื่อร่วมการประชุมกลุ่ม G20 และหารือกับสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ในประเด็นอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

สำหรับข้อเท็จจริงที่สำคัญคือ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มากที่สุดในโลก โดยมีมูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นมีอำนาจต่อรองอย่างมีนัยสำคัญในเวทีเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม คาโต้ได้ย้ำว่า จุดประสงค์หลักของการถือครองพันธบัตรดังกล่าวคือเพื่อให้มีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับการแทรกแซงตลาดเพื่อพยุงค่าเงินเยน และเขายังไม่ได้ระบุชัดเจนว่าจะนำพันธบัตรเหล่านี้มาใช้ต่อรองในการเจรจาการค้าจริงหรือไม่

มาตรการภาษีของทรัมป์ที่ส่งผลกระทบต่อญี่ปุ่น

สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของญี่ปุ่น โดยในปี 2567 มีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 21.2947 ล้านล้านเยน สินค้าหลักที่ญี่ปุ่นส่งออกไปยังสหรัฐฯ ประกอบด้วย ยานยนต์ เหล็ก และเครื่องจักรกล โดยหมวดรถยนต์มีมูลค่าสูงสุดถึง 6.264 ล้านล้านเยน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30 ของการส่งออกทั้งหมด

มาตรการภาษีของทรัมป์ที่ประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2025 กำหนดให้เก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าทั่วไปจากญี่ปุ่นในอัตรา 24% และภาษียานยนต์ในอัตรา 25% ซึ่งเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูงและส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น แม้ว่าล่าสุดสหรัฐฯ จะเลื่อนการใช้มาตรการภาษี 24% ออกไปอย่างน้อยจนถึงเดือนกรกฎาคม แต่ญี่ปุ่นยังต้องเผชิญกับภาษีทั่วไปที่ระดับ 10% และภาษียานยนต์ที่ระดับ 25%

ผลสำรวจล่าสุดจากกระทรวงการคลังญี่ปุ่นเผยให้เห็นว่า ธุรกิจญี่ปุ่นบางส่วนเริ่มได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีดังกล่าวแล้ว โดยประมาณ 10% ของบริษัทที่ตอบแบบสอบถามยืนยันว่าได้รับความเสียหายทางธุรกิจแล้ว บริษัทรถยนต์บางแห่งถูกยกเลิกคำสั่งซื้อ และบางบริษัทจำเป็นต้องลดชั่วโมงการทำงานของพนักงานในโรงงาน นอกจากนี้ ธุรกิจในภาคการท่องเที่ยวยังกังวลว่าการแข็งค่าของเงินเยนอาจทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง

ความกังวลต่อเสถียรภาพความมั่นคงในภูมิภาค

อิตสึโนริ โอโนเดระ หัวหน้าฝ่ายนโยบายของพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของญี่ปุ่น ได้แสดงความกังวลว่ามาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์อาจทำให้หลายประเทศในเอเชียหันไปใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อเสถียรภาพความมั่นคงในภูมิภาค โอโนเดระกล่าวระหว่างร่วมงานที่สถาบันฮัดสันในกรุงวอชิงตันว่า หลายประเทศที่เคยมีจุดยืนสอดคล้องกับสหรัฐฯ และญี่ปุ่นในประเด็นเกี่ยวกับจีน เริ่มไม่สบายใจกับมาตรการภาษี ซึ่งอาจทำให้พวกเขาถอยห่างจากสหรัฐฯ และหันไปสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับจีน

นอกจากนี้ มีรายงานว่าทรัมป์ยังกดดันให้ญี่ปุ่นแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศมากขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาหารือในการเจรจาการค้าเบื้องต้นเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา โอโนเดระเสนอแนะว่า ทั้งสองประเทศอาจร่วมกันผลิตและส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเฉพาะกระสุน ซึ่งสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายล่าสุดที่เปิดทางให้ญี่ปุ่นดำเนินการในเรื่องนี้ได้

ท่าทีของญี่ปุ่นและแนวทางการแก้ไขปัญหา

แม้จะเผชิญกับความท้าทายทางการค้า แต่ญี่ปุ่นยังคงแสดงท่าทีที่ต้องการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับสหรัฐฯ และหลีกเลี่ยงการใช้มาตรการที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีรายงานจากบลูมเบิร์กว่าญี่ปุ่นไม่มีแผนที่จะใช้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นเครื่องมือต่อรองในการเจรจาที่จะมีขึ้น อย่างไรก็ตาม ล่าสุดรัฐมนตรีคลังญี่ปุ่นได้ส่งสัญญาณที่แตกต่างออกไป

ในขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นกำลังมองหาทางออกผ่านองค์การการค้าโลก (WTO) โดยโอโนเดระระบุว่าญี่ปุ่นควรยกประเด็นเรื่อง “ภาษีศุลกากรของสหรัฐ” ขึ้นหารือในเวทีระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังแสดงความห่วงใยต่อผลกระทบที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค โดยเฉพาะประเทศสมาชิกอาเซียนที่หลายประเทศได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีศุลกากรที่สูง และแสดงเจตจำนงที่จะ “ทำงานเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ” ในการรับมือกับสถานการณ์นี้

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและแนวโน้มในอนาคต

การขึ้นภาษีของทรัมป์ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของการค้าโลกลงจากร้อยละ 3.8 ในปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 1.7 แม้ว่าล่าสุดประธานาธิบดีทรัมป์จะประกาศว่าจะไม่ใช้ไม้แข็งกับจีนและจะไม่เก็บภาษีสินค้าจากจีนในอัตราร้อยละ 145 แต่ทรัมป์ยังคงยืนยันว่าจะไม่ลดอัตราภาษีเป็นศูนย์อย่างแน่นอน

สำหรับประเทศไทย ซึ่งมีสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 เช่นกัน นโยบายภาษีของทรัมป์ก็ส่งผลกระทบไม่น้อย โดยเฉพาะการขึ้นภาษีรอบใหม่ในเดือนเมษายนที่เก็บภาษีในอัตราที่สูงถึง 36% และครอบคลุมสินค้าเกือบทุกประเภท ตั้งแต่สินค้าเกษตร อาหารแปรรูป และครอบคลุมอุตสาหกรรมเกือบทุกรายการ

ในท้ายที่สุด การที่ญี่ปุ่นส่งสัญญาณอาจใช้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นเครื่องมือต่อรองในการเจรจาการค้า สะท้อนให้เห็นถึงความเครียดที่เพิ่มขึ้นในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศ และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศในวงกว้าง ทั้งนี้ ผลการเจรจาระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯ จะมีผลกระทบไม่เพียงแต่กับทั้งสองประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อตลาดการเงินโลกและระบบการค้าระหว่างประเทศโดยรวมอีกด้วย

สรุป

ท่ามกลางสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น ญี่ปุ่นกำลังพิจารณาใช้จุดแข็งของตนในฐานะประเทศที่ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มากที่สุดในโลกเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเจรจา แม้จะยังไม่มีการตัดสินใจที่ชัดเจนว่าจะใช้กลยุทธ์นี้จริงหรือไม่ แต่การส่งสัญญาณดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความกังวลอย่างลึกซึ้งของญี่ปุ่นต่อนโยบายภาษีนำเข้าที่รุนแรงของสหรัฐฯ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ ผลการเจรจาระหว่างทั้งสองประเทศในระยะต่อไปจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าความสัมพันธ์ทางการค้าและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียจะดำเนินไปในทิศทางใด